เราจะรู้ได้อย่างไรว่าโฆษณาที่ซื้อจาก Facebook นั้นมีประสิทธิภาพมากพอ?
คำตอบก็อยู่ใน Facebook นั่นล่ะครับ
เพราะมันมีเครื่องมือประมวลผลและวัดค่าต่างๆ ที่ช่วยให้การทำธุรกิจของคุณง่ายขึ้น
วันนี้ผมจึงได้นำ 3 สิ่งที่บอกว่า Ads ที่เราสร้างนั้นเริ่มไม่โอเคแล้ว
เพื่อให้ใครก็ตามที่เข้าข่ายนี้ได้ไหวตัวทันและปรับปรุง Ads ให้เจ๋งขึ้นกว่าเดิม
1.Reach ต่ำ Impression สูง
ก่อนจะอธิบายว่ามันคืออะไร เรามาทำความเข้าใจกับศัพท์ 2 คำนี้กันก่อนดีกว่าครับ
Reach คือจำนวนผู้ใช้เฟสบุ้คที่เห็น Ads ของเรา ซึ่งจะนับเป็นคนๆ ไป
ถ้า Ads เรามี 100 Reach หมายความว่าคนเห็น Ads เรามี 100 คนนั่นเองครับ
ส่วน Impression คือจำนวนครั้งที่ Ads ถูกโหลดขึ้นมาแสดงบนหน้า Facebook
อย่าสับสนกับ Reach นะครับ เพราะ Reach คือ “จำนวนคน” ที่ได้เห็น Ads
ส่วน Impression คือ “จำนวนครั้ง” ที่ Ads แสดงขึ้นมาให้คนเห็น
ที่แยกกันแบบนี้เพราะ 1 คน สามารถเห็นโฆษณาได้มากกว่า 1 ครั้ง
อย่างเช่นถ้าคุณทำ Ads ไว้ และ Facebook โหลดขึ้นมาให้นายเอเห็น 3 ครั้ง
นั่นเท่ากับว่า Ads ของคุณมี 1 Reach (นายเอ) และ 3 Impression (แสดงผล 3 ครั้ง)
พอเข้าใจแล้วว่ามันคืออะไร ทีนี้เรามาดูกันว่าทำไมการที่ Reach ต่ำ
แต่ Impression สูงนั้นถึงเป็นสิ่งที่บอกว่าโฆษณาของคุณเริ่มอิ่มตัวแล้ว
นั่นก็เพราะเหตุการณ์แบบนี้ฟ้องให้เห็นว่า Ads ของคุณแสดงผลต่อคน 1 คนมากเกินไป
ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า Ads จะแสดงให้ผู้ใช้งานเห็นอยู่เรื่อยๆ
จนกว่าคนๆ นั้นจะตอบสนองบางอย่างต่อ Ads หรือเพจนั้นๆ เช่น ไลค์ แชร์ คอมเม้น
การที่ Ads แสดงผลขึ้นมามากๆ สวนทางกับผู้ที่เห็น
หมายความว่ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสนใจกับ Ads นี้
มันจึงเป็นสัญญาณที่บอกว่าโฆษณาของคุณเริ่มอิ่มตัวหรือไม่มีความน่าสนใจมากพอ
2.Frequency สูงเกิน 2.5
อันนี้จะคล้ายกับข้อแรกครับ Frequency คือความถี่หรือจำนวนครั้งที่ผู้ใช้งาน 1 คนเห็น Ads 1 ตัว
วิธีคิด Frequency ของ Facebook คือการนำ Impression มาหารออกด้วย Reach
หากมี Impression = 100 และ Reach = 50 Frequency จะเท่ากับ 2
ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้งาน 1 คนจะเห็น Ads ของเรา 2 ครั้งโดยเฉลี่ย
จะเห็นได้ว่า Frequency นี้จะสัมพันธ์กับทั้ง Impression และ Reach
ส่วนเหตุผลว่าทำไมการที่มีค่านี้เยอะจึงไม่ดี
ก็เช่นเดียวกันกับข้อแรกเลยครับ ว่าถ้าหากมีคนเห็น Ads ของเราซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง
แสดงว่าเขาไม่ได้ตอบสนองใดๆ ต่อ Ads ของเราเลย (นันคือเลื่อนผ่านนั่นเอง)
ดังนั้นถ้าหาก Frequency มีมากเกิน 2.5 ก็เริ่มเป็นสัญญาณที่ไม่ดีแล้วนะครับ
3.ค่า CTR ต่ำกว่า 5%
ค่า CTR คืออัตราการคลิ๊กต่ออัตราการเห็นโฆษณา
คือการนำ Impression มาหารด้วยจำนวนคลิ๊ก/เข้าชม
เช่น Impression = 100 จำนวนคลิ๊ก = 10 CTR จะเท่ากับ 10% นั่นเองครับ
ยิ่งค่า CTR เยอะก็ยิ่งแสดงว่าโฆษณาสามารถดึงดูดผู้คนได้มาก
ตรงกันข้ามครับ ถ้า CTR น้อย แสดงว่าโฆษณายังไม่ดีเท่าที่ควร
โดยทั่วไปแล้ว CTR ที่พอเหมาะจะอยู่ที่ 10% แต่ถ้าหากน้อยกว่านั้น หรือต่ำหว่า 5% ล่ะก็
ต้องรีบสังเกต Ads ว่าพลาดตรงไหนไปรึเปล่าแล้วล่ะครับ
ลองสำรวจดูนะครับว่า Ads ของคุณเข้าข่าย 3 ข้อเหล่านี้มั้ย
สำหรับครั้งหน้าจะมีอะไรดีๆ มาฝากอีก ก็อย่าลืมติดตามกันนะครับ